top of page
ดอกแดง

DJ TACKTHAI

Thai DJs on the WORLD PRIDE stage

414144507_1704850163258286_6298105194040463833_n.jpg

Photo: ถุง ถัง

This is the first Thai DJ to perform on a world-class stage like World Pride. Let's give DJ TACKTHAI a big round of applause! “Being selected to go on stage like World Pride 2023, play the song on a large stage. There were over 20,000 people in attendance, presenting songs with a touch of Asia and my personality. It was an experience that I will never be able to erase from my memory. Especially when I received feedback from many people, even when I was on stage. and after work with people sending messages Tag me on their social media if you like the set of songs I play. It made me feel even better.”

Not only representing Thai DJs on the global stage, DJ TACKTHAI also has The DREAM Project, another important event that seeks to strengthen the techno music culture in Thailand. An event for techno music lovers and those who want to experience a new style of music to try again.

“Actually, I think every genre of music has its own artistic flair. But when I met techno music myself, I felt that it was very profound, both artistically. creativity It's like telling a story with music. So I want everyone to try to open their hearts to listen to techno music. Or maybe try to start with the work of The DREAM Project first.

414124803_1704843929925576_5953370765087367653_n.jpg

Q: มองย้อนกลับไปในวันงาน อะไรคือสิ่งที่ประทับใจที่สุด

Jessy: เอาจริงๆ ประทับใจแทบจะทุกอย่างเลยครับ มันเหมือนเราสามารถก้าวข้ามผ่านสิ่งที่เป็นเหมือนกำแพงไปได้ รวมถึงเพื่อนพี่น้องมาร่วมแสดงความยินดีด้วย มันเต็มไปด้วยความประทับใจจริงๆ คือน้ำตาไหลไม่หยุด มันเหมือนเป็นครั้งแรกในชีวิตเลยที่เข้าใจว่าน้ำตาแห่งความสุขและความประทับใจมันเป็นยังไง

Kenny: เราได้มองเห็นทุกๆ คนที่อยู่รอบตัวเราที่ต่างมีความชื่นชมยินดีในสิ่งที่เกิดขึ้น มันทำให้เรารู้สึกว่าเราได้ทำลายกำแพงอะไรบางอย่างลงไปได้ และทุกคนก็มีรอยยิ้มและน้ำตาแห่งความยินดีในงาน ผมประทับใจมากที่สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นได้

Q: ตลอดเวลาที่คบกันมา อะไรคือสิ่งที่ประทับใจในตัวของอีกฝ่ายมากที่สุด

Kenny: เจสซี่เป็นคนที่ให้กำลังใจและรับฟังปัญหาของผมมาตลอด เขาเข้าใจถึงการทำงานและเรื่องส่วนตัวของผมในทุกๆ เรื่อง เจสซี่พร้อมให้โอกาสและเปิดรับในทุกเรื่องที่ผมต้องทำ เจสซี่เป็นคนที่มีเหตุผล ไม่งอแง เป็นคนที่มีแบบแผนในการใช้ชีวิตของตัวเองเป็นอย่างมาก ตลอดเวลาที่คบกันมากว่า 5 ปีนี้ เราแทบจะไม่เคยทะเลาะกันเลย ที่สำคัญครอบครัวของเราทั้งสองฝ่ายต่างก็เปิดรับซึ่งกันและกันเป็นอย่างดีครับ

Jessy: เคนนี่เป็นคนที่ภายนอกอาจดูโผงผาง แต่เขาเป็นคนที่จิตใจดีมาก เป็นคนที่อยู่ใกล้แล้วมีความสุข สนุกสนาน และทำให้ทุกวันของเรามีสีสันเสมอ แต่พอเป็นเวลางาน เขาก็จะปรับโหมดเป็นอีกแบบ จริงจัง ขึงขัง ที่ผ่านมาหลายครั้งที่เราต้องการคำปรึกษาไม่ว่าจะเรื่องอะไรก็ตาม เขาก็จะคอยอยู่เคียงข้างเสมอ เราสองคนดูแลกันและกันมาตลอด จนรู้สึกว่าเราเป็นส่วนหนึ่งของกันและกันไปแล้ว

414145013_1704850259924943_4826555822815903569_n.jpg
414135993_1704850223258280_4662521513693512862_n.jpg

Q: มีเคล็ดลับอะไรอยากฝากไปถึงคู่รักคู่อื่นๆ ไหม

Kenny: อยากให้ทุกคู่ที่กำลังคบกันหรือวางแผนจะใช้ชีวิตคู่ร่วมกัน ใช้เหตุผลและสติให้มากครับ ในการใช้ชีวิตต้องแยกระหว่างความรัก ความห่วง ความหวง ออกจากกันให้ได้ เพราะในทุกพฤติกรรมมันมีความแตกต่างกัน ถึงแม้มันจะคล้ายกัน แม้ว่าผมจะทำงานคนละที่กับเจสซี่ ต่างคนต่างใช้ชีวิต เราก็ไม่เคยมีปัญหาอะไรกันเลย เพราะเรามีความเชื่อใจซึ่งกันและกัน ในเวลาเราเหนื่อยเราท้อ เราก็คุยกัน ให้กำลังใจซึ่งกันและกัน สิ่งเหล่านี้มันจะทำให้เรามองแต่ด้านบวกของแต่ละคน มากกว่าที่จะมองด้านลบครับ

Jessy: ไม่ว่าคู่รักเพศใดก็ตาม ผมอยากให้ทุกคนเข้าใจว่า เราทุกคนไม่มีใครสมบูรณ์แบบ 100% เพราะในโลกแห่งความเป็นจริงมันไม่เหมือนในนิยาย บางครั้งการใช้ชีวิตคู่ เราอาจต้องเจอกับสิ่งที่เราอาจไม่ถูกใจกับการเป็นตัวตนของอีกฝ่ายบ้าง เช่นเดียวกัน ตัวเราเองก็อาจมีบางอย่างที่เขาไม่ถูกใจ ก็อยากให้เปิดใจและปรับตัวเข้าหากัน วันใดก็ตามที่เกิดปัญหาหรือมีปากเสียงกัน ก็อยากให้ลองมองย้อนกลับไปดูว่า อะไรคือเหตุผลในการที่เราตัดสินใจใช้ชีวิตคู่ร่วมกัน แล้วเรารักคนตรงหน้าเราเพราะอะไร

Q: นอกจากพิธีแต่งงานแล้ว คิดว่าคงรอคอยสมรสเท่าเทียมอยู่เช่นกันใช่ไหม

Kenny: มันคือสิ่งที่กลุ่มคนหลากหลายทางเพศรอคอย เพราะว่าต่อให้ผมพิสูจน์ตัวเองยังไง จัดงานแต่งงานต่อหน้าสักขีพยานและแขกผู้มีเกียรติมากมายขนาดไหน ก็ไม่อาจทำให้ชีวิตคู่ของเราถูกเติมเต็มได้ในแง่ของการใช้ชีวิต ไม่ว่าจะเรื่องสวิสดิการ สวัสดิภาพ ตัวอย่างก็เช่นการเซ็นเอกสารรับรองหรือยินยอมเรื่องต่างๆ ในสถานการณ์การฉุกเฉิน สมมติหากเจสซี่เป็นอะไรขึ้นมา แล้วต้องผ่าตัดด่วนเพื่อช่วยชีวิต ตัวผมเองก็ไม่มีสิทธิ์จะไปทำอะไรตรงนั้นได้

Jessy: มันเป็นเรื่องของสิทธิขั้นพื้นฐานน่ะครับ ผมว่ามนุษย์ทุกคนควรได้รับสิทธิ์ที่เท่าเทียมกัน เราไม่ได้เรียกร้องให้มันมากกว่าคนอื่นๆ เลย แต่เท่าที่เห็นและเป็นอยู่คือเพศหลากหลายไม่ได้มีสิทธิ์เท่าชายหญิงทั่วไปเลย ผมก็เข้าใจนะครับว่าในส่วนของอีกกลุ่มหนึ่งอาจจะมองว่าความรักของเพศหลากหลายนั้นมีสัดส่วนที่จริงจังไม่มากขนาดที่จะต้องให้ความสำคัญ หรืออาจจะมีเรื่องของงบประมาณ และอะไรต่างๆ อีกมากมายตามมาในส่วนของกฎมายแพ่งและพาณิชย์ แต่สุดท้ายมันก็วนอยู่ในอ่างกับประโยคที่ว่า “ใครได้ผลประโยชน์ ใครได้เปรียบ ใครเสียเปรียบ” หากเราสามารถก้าวข้ามผ่านเรื่องตรงนั้นได้ ผมว่าอะไรๆ ก็น่าจะดีขึ้น โลกใบนี้ก็จะน่าอยู่มากยิ่งขึ้น

Kenny: ถ้ามองในแง่ของระดับประเทศ ผมมองว่าหากสมรสเท่าเทียมผ่าน ก็จะส่งผลต่อภาพลักษณ์ในหลายๆ เรื่อง ไม่ว่าจะเรื่องสิทธิมนุษยชน ซึ่งสามารถต่อยอดไปถึงเรื่องการท่องเที่ยว รวมถึงเศรษฐกิจของประเทศ เพราะผมมั่นใจว่าประเทศต่างๆ ทั่วโลก เขาก็มองเราในเรื่องนี้อยู่เหมือนกัน

Jessy: มันเป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อนในแง่ของโครงสร้างทางสังคม ซึ่งหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องพูดคุยปรึกษาหารือกันในทุกฝ่าย ไม่ว่าจะความเข้าใจเรื่องเพศผ่านการศึกษาขั้นพื้นฐานก่อนเลย ทำให้เกิดการยอมรับก่อนว่าเพศบนโลกใบนี้ไม่ได้มีเพียงชายและหญิงเท่านั้น แล้วคนเหล่านั้นล่ะ มีสิทธิเท่าเทียมกับคนอื่นไหม? แล้วหากเขาอยากมีชีวิตคู่กันล่ะ เขาจะทำอย่างไร? จากนั้นเราก็จะเริ่มเข้าใจกันว่าทำไมการหารือเรื่องสมรสเท่าเทียมถึงสำคัญมากในวันนี้ ผมมองว่ามันเป็นเรื่องที่มีผลดีมากกว่าเสีย เพียงแต่ทุกฝ่ายต้องคุยกันบนพื้นฐานของคำว่าเข้าใจซึ่งกันและกันเท่านั้นเอง

bottom of page